เหตุใด Resume หลายฉบับจึงดูเหมือนกันหมด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเขียนหรือการจัดรูปแบบ แต่อยู่ที่เนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการตกผลึก เหมือนคนที่จะทำอาหารแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีของอะไรในตู้เย็น หรือชอบกินรสชาติแบบไหน
การเตรียมตัวที่จะทำให้ Resume ของคุณมีเนื้อหาที่ทรงพลัง ไม่ใช่แค่การเรียงคำ
เคยสังเกตไหมว่า Resume ของคนจบใหม่ส่วนใหญ่ดูเหมือนแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน เขียนว่า "มีความรับผิดชอบสูง", "ทำงานเป็นทีม", "กระตือรือร้นในการเรียนรู้" แล้วก็จบด้วยประสบการณ์ฝึกงานที่เล่าแบบเรียบๆ
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเขียนหรือการจัดรูปแบบ แต่อยู่ที่เนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการตกผลึก เหมือนคนที่จะทำอาหารแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีของอะไรในตู้เย็น หรือชอบกินรสชาติแบบไหน
Resume ที่มีพลังไม่ได้เกิดจากการนั่งเขียนชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการเจาะลึกตัวเองก่อนอย่างจริงจัง การค้นพบจุดแข็งที่แท้จริง การยอมรับจุดอ่อนอย่างตรงไปตรงมา และการเข้าใจว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนอะไรให้เราบ้าง
ผมจะเล่าให้ฟังว่าความแตกต่างระหว่าง Resume ที่ได้รับการนัดสัมภาษณ์กับ Resume ที่ถูกทิ้งอยู่ที่ไหน และจะเตรียมตัวอย่างไรให้เนื้อหาในใจพร้อมก่อนลงมือเขียน
ลองนึกภาพว่าชีวิตของคุณเป็นเหมือนบ้านหลังเก่าที่เก็บของมานาน ก่อนจะย้ายบ้านใหม่ คุณต้องเปิดทุกกล่อง ทุกลิ้นชัก เพื่อดูว่ามีอะไรที่มีค่าซ่อนอยู่บ้าง บางอย่างอาจเป็นแค่ของเก่าที่ไม่มีค่า แต่บางอย่างอาจเป็นสมบัติที่คุณลืมไปแล้ว
การเตรียมเขียน Resume ก็เช่นเดียวกัน คุณต้องเปิดทุกลิ้นชักความทรงจำ ตั้งแต่สมัยมัธยมปลายจนถึงตอนนี้ ดูว่ามีเรื่องราวอะไรที่แสดงถึงความสามารถ การเรียนรู้ หรือการเติบโตของคุณบ้าง
เริ่มจากช่วงมัธยมปลาย คุณเคยเป็นหัวหน้าห้องไหม เคยจัดกิจกรรมอะไรไหม เคยแก้ปัญหาให้เพื่อนๆ ไหม เคยทำอะไรที่ทำให้คนอื่นประทับใจหรือขอบคุณไหม ไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่โต แค่เรื่องเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นถึงตัวตนของคุณก็พอ
ต่อมาในช่วงมหาวิทยาลัย นอกจากการเรียนแล้ว คุณทำอะไรอีกบ้าง เข้าชมรมไหม ทำงานพาร์ทไทม์ไหม มีโครงงานที่ภูมิใจไหม เคยเจอปัญหาและแก้ไขได้ไหม เคยช่วยเหลือใครไหม เคยนำใครไหม
ที่สำคัญคือ อย่าดูถูกประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง การช่วยเพื่อนทำงานกลุ่ม การดูแลน้องใหม่ การแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ให้เพื่อนบ้าน ล้วนเป็นประสบการณ์ที่มีค่า เพียงแต่ต้องรู้จักเล่าให้น่าสนใจ
เมื่อคุณรวบรวมประสบการณ์ต่างๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาแบบแผน ดูว่ามีเรื่องอะไรที่คุณทำแล้วได้ผลดีซ้ำๆ มีลักษณะอะไรที่ผู้คนชื่นชมในตัวคุณเป็นประจำ มีสถานการณ์แบบไหนที่คุณจัดการได้ดีเสมอ
บางคนอาจพบว่าตัวเองเก่งในการอธิบายเรื่องซับซ้อนให้คนอื่นเข้าใจ บางคนอาจพบว่าตัวเองเป็นคนที่อยู่ได้กับทุกกลุ่มคน บางคนอาจพบว่าตัวเองมีความอดทนสูงในการทำงานที่ต้องการความละเอียด
สิ่งเหล่านี้คือสมบัติที่แท้จริงของคุณ ไม่ใช่คำพูดสำเร็จรูปที่คัดลอกมาจากอินเตอร์เน็ต แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการสังเกตและการสรุปจากประสบการณ์จริง
คนส่วนใหญ่คิดว่าจุดแข็งต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่และโดดเด่น แต่ความจริงแล้ว จุดแข็งที่มีค่าที่สุดมักซ่อนอยู่ในเรื่องธรรมดาที่คุณทำได้โดยไม่รู้สึกยาก เช่น คุณอาจเป็นคนที่เพื่อนๆ มักมาปรึกษาเวลามีปัญหา นั่นแสดงว่าคุณมีทักษะการฟังและให้คำแนะนำที่ดี คุณอาจเป็นคนที่จัดของในห้องเป็นระเบียบเสมอ นั่นแสดงว่าคุณมีทักษะการจัดการและความเป็นระบบ คุณอาจเป็นคนที่ทำงานกลุ่มแล้วไม่เคยมีปัญหา นั่นแสดงว่าคุณมีทักษะการทำงานเป็นทีม
การที่คุณเรียนจบตรงเวลา แสดงว่าคุณมีความรับผิดชอบและการวางแผน การที่คุณทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วยเรียนไปด้วย แสดงว่าคุณมีการบริหารเวลาและความอดทน การที่คุณสามารถใช้โปรแกรมต่างๆ ได้ แสดงว่าคุณมีความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยี
ลองนึกถึงสิ่งที่คุณทำได้โดยง่าย แต่คนอื่นอาจทำยาก หรือสิ่งที่คนอื่นชื่นชมในตัวคุณ เหล่านั้นคือจุดแข็งที่แท้จริง ไม่ใช่คำพูดสวยๆ ที่ไม่มีเนื้อหา
การยอมรับว่าตัวเองยังไม่เก่งเรื่องการพูดต่อหน้าคนเยอะ แต่กำลังฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นั่นแสดงถึงความตระหนักรู้ในตนเองและความมุ่งมั่นพัฒนา การรู้ว่าตัวเองเป็นคนใส่ใจรายละเอียดจนบางครั้งใช้เวลานาน แต่กำลังเรียนรู้การจัดลำดับความสำคัญ นั่นแสดงถึงความรับผิดชอบและการปรับปรุงตนเอง
จุดอ่อนที่นำเสนอได้ดีคือจุดอ่อนที่ไม่ได้ทำลายงาน มีวิธีจัดการ และแสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ เช่น "เคยเป็นคนเก็บอารมณ์ แต่ตอนนี้เรียนรู้การสื่อสารที่ชัดเจนขึ้น" หรือ "เคยเป็นคนระวังตัวมาก แต่ตอนนี้กล้าลองสิ่งใหม่มากขึ้น"
ภารกิจแรก: การสร้างแผนที่ความทรงจำ
จินตนาการว่าคุณเป็นนักโบราณคดีที่กำลังขุดค้นชีวิตของตัวเอง แต่แทนที่จะหาโบราณวัตถุ คุณกำลังหาช่วงเวลาที่คุณรู้สึกภาคภูมิใจ มีความสุข หรือประสบความสำเร็จ
นั่งลงที่โต๊ะ เอากระดาษมาแผ่นหนึ่ง หรือเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมา เขียนเส้นแนวนอนยาวๆ จากซ้ายไปขวา แผ่นกระดาษ เส้นนี้คือแผนที่ชีวิตของคุณ ทางซ้ายสุดคือตอนมัธยมปลาย ทางขวาสุดคือตอนนี้
ตอนนี้ให้หยุดคิดทุกอย่าง แล้วเริ่มนึกถึงช่วงเวลาที่คุณรู้สึกดีใจมากๆ หรือภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นการได้เกรดดี การแก้ปัญหาได้ การช่วยเหลือใคร การทำสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ หรือแม้แต่การที่คนอื่นชื่นชมคุณ
เขียนช่วงเวลาเหล่านี้ลงบนเส้นเวลา ไม่ต้องเรียงตามลำดับ แค่เขียนไปเรื่อยๆ ตามที่นึกออก อาจจะเป็น "ได้ A ในวิชาที่เกลียด", "ช่วยเพื่อนทำโปรเจคสำเร็จ", "ทำงานพาร์ทไทม์และหัวหน้าชมชอบ", "จัดกิจกรรมในชมรมแล้วคนมาเยอะ"
ภารกิจที่สอง: การขุดลึกแต่ละเหตุการณ์
เลือกเหตุการณ์ที่คุณเขียนไว้มาสามเหตุการณ์ที่รู้สึกภาคภูมิใจที่สุด แล้วลองตอบคำถามเหล่านี้สำหรับแต่ละเหตุการณ์
"เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในเหตุการณ์นั้น ให้เล่าแบบละเอียดเหมือนเล่าให้เพื่อนฟัง" อย่าเขียนแค่ว่า "ได้เกรดดี" แต่ให้เล่าว่า "วิชานี้ยากมาก อาจารย์สอนเร็ว เนื้อหาเยอะ แต่ฉันไปนั่งแถวหน้า จดโน้ตทุกคำ กลับไปอ่านซ้ำทุกวัน และไปถามอาจารย์เวลาไม่เข้าใจ"
"คุณทำอะไรเป็นพิเศษในเหตุการณ์นั้น ที่คนอื่นอาจจะไม่ทำ" อาจจะเป็น "ทำงานพิเศษตอนดึก", "ไปหาข้อมูลเพิ่มเติม", "ชวนคนอื่นมาช่วย", "ทำไปเรื่อยๆ ไม่ยอมแพ้"
"ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร นอกจากความภาคภูมิใจแล้ว มีคนได้ประโยชน์อะไรบ้าง" อาจจะเป็น "เพื่อนในกลุ่มได้เกรดดีด้วย", "ลูกค้าพอใจมาใช้บริการต่อ", "กิจกรรมประสบความสำเร็จและทุกคนมีความสุข"
ภารกิจที่สาม: การค้นหาเหตุและผล
ตอนนี้ดูเหตุการณ์ทั้งสามที่คุณเขียนไว้ ลองหาสิ่งที่เหมือนกัน ในแต่ละเหตุการณ์ คุณมีลักษณะอะไรที่เหมือนกัน ทำอะไรที่เหมือนกัน หรือแสดงทักษะอะไรที่เหมือนกัน
บางคนอาจพบว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ บางคนอาจพบว่าตัวเองเก่งในการทำให้คนอื่นทำงานร่วมกัน บางคนอาจพบว่าตัวเองเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียด บางคนอาจพบว่าตัวเองเก่งในการอธิบายหรือสอนคนอื่น บางคนทุ่มเทเป็นพิเศษเมื่อต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีที่สุด
เหล่านี้คือจุดแข็งที่แท้จริงของคุณ ไม่ใช่คำพูดที่คัดลอกมาจากเทมเพลต แต่เป็นสิ่งที่คุณมีจริงและพิสูจน์แล้วด้วยประสบการณ์
ภารกิจที่สี่: การขุดค้นความล้มเหลว
ตอนนี้เปลี่ยนมาดูอีกด้านหนึ่งของชีวิต ย้อนไปคิดถึงช่วงเวลาที่คุณรู้สึกท้อ ผิดหวัง หรือทำอะไรไม่สำเร็จ อย่ากลัวหรืออายที่จะนึกถึง เพราะเหตุการณ์เหล่านี้มักสอนเราได้มากกว่าความสำเร็จ
อาจจะเป็น "สอบตกในวิชาที่คิดว่าจะได้ A", "ทำงานกลุ่มแล้วมีปัญหา", "ขัดแย้งกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว", "ทำอะไรไม่สำเร็จตามที่วางแผนไว้"
เขียนเหตุการณ์เหล่านี้ลงไป แล้วลองตอบคำถามสำหรับแต่ละเหตุการณ์
"เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ทำไมถึงไม่สำเร็จ" อย่าโทษใครหรือโทษอะไร แต่ลองดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เป็นเช่นนั้น
"คุณรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น และทำอะไรตอนที่เจอปัญหา" บางคนอาจท้อแท้และอยากยอมแพ้ บางคนอาจโกรธและโทษคนอื่น บางคนอาจเงียบและเก็บเป็นความลับ
"หลังจากนั้นคุณเรียนรู้อะไร และเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองหรือไม่" นี่คือส่วนสำคัญที่สุด เพราะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนรู้และปรับปรุงตนเอง
ภารกิจที่ห้า: การเปลี่ยนจุดอ่อนเป็นจุดแข็ง
จากเหตุการณ์ความล้มเหลวที่คุณเขียนไว้ ลองหาสิ่งที่เรียนรู้ได้ และสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาจากการเจอปัญหานั้น
เช่น จากการสอบตก คุณอาจเรียนรู้ว่าต้องวางแผนการเรียนให้ดีขึ้น ต้องถามคำถามเมื่อไม่เข้าใจ และต้องเริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่เนิ่นๆ จากการมีปัญหาในงานกลุ่ม คุณอาจเรียนรู้ว่าต้องสื่อสารให้ชัดเจนขึ้น ต้องฟังความคิดเห็นคนอื่น และต้องหาทางประนีประนอมเมื่อมีความขัดแย้ง
เหล่านี้คือการเติบโตที่แท้จริง เป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดและพัฒนาตนเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องการมากกว่าคนที่ไม่เคยผิดพลาดเลย
ภารกิจที่หก: เกมสวมบทบาท
ลองนึกภาพว่าคุณต้องแนะนำตัวเองให้เพื่อนใหม่ฟัง แต่มีเงื่อนไขว่าคุณห้ามใช้คำพูดสำเร็จรูป เช่น "รับผิดชอบ", "ขยัน", "ซื่อสัตย์" แต่ต้องเล่าด้วยเรื่องราวจริงๆ ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะเหล่านั้น
แทนที่จะพูดว่า "ฉันเป็นคนรับผิดชอบ" ลองเปลี่ยนเป็น "ตอนทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟ ฉันไม่เคยมาสายหรือขาดงานเลย แม้ในวันที่ป่วยก็ยังหาคนมาแทนให้ได้และแจ้งล่วงหน้า"
แทนที่จะพูดว่า "ฉันทำงานเป็นทีม" ลองเปลี่ยนเป็น "ตอนทำโครงงานกลุ่ม สมาชิกคนหนึ่งมีปัญหาส่วนตัวทำงานไม่ได้ ฉันเลยนัดคุยกับทุกคนเพื่อแบ่งงานของเขาให้คนอื่น และคอยให้กำลังใจเขาด้วย"
ลองฝึกเล่าเรื่องราวแบบนี้สำหรับจุดแข็งหลักๆ ของคุณ ดูว่าคุณมีเรื่องราวจริงๆ มาสนับสนุนหรือไม่
ภารกิจที่เจ็ด: การทดสอบจากคนรอบข้าง
ไปถามเพื่อนสนิท พี่น้อง หรือคนที่รู้จักคุณดี สามคน ให้พวกเขาบอกว่าเมื่อคิดถึงคุณ สิ่งแรกที่นึกได้คืออะไร คุณมีจุดเด่นอะไร และเคยทำอะไรที่ทำให้พวกเขาประทับใจ อย่าบอกพวกเขาว่าคุณกำลังเตรียมเขียน Resume เพราะอาจทำให้คำตอบไม่จริงใจ แค่ถามแบบสบายๆ ว่าอยากรู้ว่าคนอื่นมองคุณอย่างไร
บางครั้งสิ่งที่คนอื่นเห็นในตัวเราอาจเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นในตัวเอง หรือเป็นสิ่งที่เราคิดว่าธรรมดา แต่คนอื่นกลับมองว่าเป็นจุดเด่น
ภารกิจที่แปด: การตรวจสอบความสอดคล้อง
ตอนนี้เปรียบเทียบสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นจุดแข็งของตัวเองกับสิ่งที่คนอื่นมองเห็น ดูว่าตรงกันหรือไม่ หากตรงกัน แสดงว่าจุดแข็งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่แท้จริงและเห็นได้ชัด หากไม่ตรงกัน ลองดูว่าคุณอาจมองข้ามจุดแข็งอะไรไป หรือคิดว่าจุดแข็งที่ไม่เห็นได้ชัดเจน
นอกจากนี้ ลองดูว่าจุดแข็งที่คุณค้นพบสามารถใช้ในการทำงานได้หรือไม่ และเกี่ยวข้องกับงานที่คุณสนใจอย่างไร
หลังจากที่คุณขุดคุ้ยประสบการณ์และจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาเลือกสรรเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดมานำเสนอ เหมือนการเลือกภาพถ่ายที่สวยที่สุดไปโพสต์บน Instagram ไม่ใช่เอาทุกภาพมาโพสต์
การเลือกเรื่องราวสำหรับ Resume เหมือนการจัดแสดงนิทรรศการ คุณมีพื้นที่จำกัด ผู้ชมมีเวลาจำกัด ดังนั้นต้องเลือกเฉพาะชิ้นงานที่โดดเด่นและสื่อความหมายได้ชัดเจน
ลองดูเรื่องราวที่คุณเขียนไว้ทั้งหมด แล้วเลือกเฉพาะเรื่องที่ตอบได้อย่างน้อยสองคำถามจากสามคำถามนี้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เป็นประโยชน์กับงานหรือไม่ เรื่องนี้มีผลลัพธ์ที่วัดผลได้หรือไม่ เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้หรือการเติบโตหรือไม่
ภารกิจที่เก้า: การทำ Storyboard ชีวิต
เอากระดาษมาใหม่ แล้ววาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ สี่ช่อง เหมือน Storyboard ในการ์ตูน แต่ละช่องจะเป็นเรื่องราวหลักของคุณที่จะนำไปใส่ใน Resume
ช่องที่หนึ่ง เรื่องราวที่แสดงถึงความรับผิดชอบหรือความน่าเชื่อถือ อาจจะเป็นการทำงานพาร์ทไทม์ การเป็นหัวหน้ากลุ่ม หรือการดูแลสิ่งของส่วนรวม
ช่องที่สอง เรื่องราวที่แสดงถึงการแก้ปัญหาหรือความคิดสร้างสรรค์ อาจจะเป็นการแก้ปัญหาในโปรเจค การปรับปรุงกระบวนการทำงาน หรือการคิดหาทางออกในสถานการณ์ยากๆ
ช่องที่สาม เรื่องราวที่แสดงถึงการทำงานร่วมกับคนอื่น อาจจะเป็นการจัดกิจกรรม การช่วยเหลือเพื่อน หรือการทำงานในทีม
ช่องที่สี่ เรื่องราวที่แสดงถึงการเรียนรู้หรือพัฒนาตนเอง อาจจะเป็นการเรียนทักษะใหม่ การฟื้นตัวจากความล้มเหลว หรือการท้าทายตัวเอง
สำหรับแต่ละช่อง ให้เขียนประโยคสั้นๆ สรุปเรื่องราว แล้วเขียนผลลัพธ์หรือบทเรียนที่ได้รับ นี่จะเป็นโครงสร้างหลักของ Resume ของคุณ
ตอนนี้คุณมีเรื่องราวที่ดีแล้ว แต่ยังต้องแปลให้เป็นภาษาที่นายจ้างเข้าใจและสนใจ นายจ้างไม่ได้สนใจว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับประสบการณ์นั้น แต่สนใจว่าประสบการณ์นั้นแสดงถึงความสามารถอะไร และจะเป็นประโยชน์กับงานอย่างไร
แทนที่จะพูดว่า "ฉันเคยทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟและรู้สึกสนุก" ลองเปลี่ยนเป็น "ประสบการณ์การให้บริการลูกค้าในสภาพแวดล้อมที่เร่งรีบ พัฒนาทักษะการจัดการความเครียด การทำงานเป็นทีม และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า"
แทนที่จะพูดว่า "ฉันเป็นหัวหน้าชมรมและพยายามทำให้ดีที่สุด" ลองเปลี่ยนเป็น "การนำทีม 20 คนในการจัดกิจกรรมประจำปี วางแผนงบประมาณ จัดการทรัพยากร และประสานงานกับหลายฝ่าย ส่งผลให้กิจกรรมประสบความสำเร็จและมีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน"
ภารกิจที่สิบ: การเปลี่ยนคำพูด
เอาเรื่องราวในแต่ละช่องของ Storyboard มาเขียนใหม่ให้เป็นภาษาที่เน้นผลลัพธ์และทักษะ ใช้คำกริยาที่แสดงถึงการกระทำ เช่น พัฒนา จัดการ สร้าง วิเคราะห์ ปรับปรุง นำ ประสานงาน
ใส่ตัวเลขหรือข้อมูลที่เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด แทนที่จะพูดว่า "ขายได้ดี" ให้พูดว่า "ขายได้เกินเป้า 15%" แทนที่จะพูดว่า "ทำให้คนมาเยอะ" ให้พูดว่า "เพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมจาก 50 คนเป็น 80 คน"
เชื่อมโยงแต่ละประสบการณ์กับทักษะที่นายจ้างต้องการ ถ้าสมัครงานการตลาด ให้เน้นเรื่องการสื่อสาร การคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ข้อมูล ถ้าสมัครงาน IT ให้เน้นเรื่องการแก้ปัญหา การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ การทำงานเป็นระบบ
การทดสอบความพร้อม: เกมจำลองสถานการณ์
สถานการณ์จำลองที่หนึ่ง: ลิฟต์พิทช์
ภารกิจที่สิบเอ็ด: การขายตัวใน 30 วินาที
ลองนึกภาพว่าคุณอยู่ในลิฟต์กับ CEO ของบริษัทที่คุณอยากทำงาน เขาถามว่า "เล่าเกี่ยวกับตัวคุณหน่อยสิ" คุณมีเวลาแค่ 30 วินาที ก่อนที่ลิฟต์จะถึงชั้นของเขา
ลองฝึกพูดแนะนำตัวเองโดยใช้เรื่องราวและผลลัพธ์ที่คุณเตรียมไว้ แต่ต้องพูดให้จบใน 30 วินาที จับเวลาด้วย อย่าลืมว่าต้องฟังดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ท่องจำ
ตัวอย่าง "ผมเป็นนักศึกษาการตลาดที่เพิ่งจบ มีประสบการณ์ฝึกงานสร้างคอนเทนต์ที่ทำให้ยอด engagement เพิ่มขึ้น 35% และเคยนำทีมจัดกิจกรรมที่มีคนเข้าร่วมเกิน 200 คน ผมชอบการแก้ปัญหาและการทำงานกับคนหลากหลาย ผมเชื่อว่าความกระตือรือร้นและประสบการณ์นี้จะเป็นประโยชน์กับทีมการตลาดของคุณ"
สถานการณ์จำลองที่สอง: การเล่าเรื่องแบบ STAR
ภารกิจที่สิบสอง: การฝึกเล่าเรื่องแบบ STAR Method
STAR ย่อมาจาก Situation (สถานการณ์), Task (งานที่ต้องทำ), Action (การกระทำ), Result (ผลลัพธ์) เป็นวิธีเล่าเรื่องที่ HR และผู้สัมภาษณ์ชอบมาก เพราะได้ข้อมูลครบและเป็นระบบ เอาเรื่องราวหลักของคุณมาหนึ่งเรื่อง แล้วลองเล่าแบบ STAR
Situation สถานการณ์ขณะนั้นเป็นอย่างไร มีปัญหาหรือความท้าทายอะไร เช่น "ตอนฝึกงานที่บริษัท เพจ Facebook ของบริษัทมียอด engagement ที่ต่ำมาก แทบไม่มีคนกด like หรือ comment เลย"
Task คุณได้รับมอบหมายให้ทำอะไร หรือคุณตั้งเป้าหมายอะไรไว้ เช่น "ผมได้รับมอบหมายให้หาวิธีเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย โดยเป้าหมายคือให้ยอด engagement เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% ใน 2 เดือน"
Action คุณทำอะไรบ้าง ใช้วิธีการอะไร มีขั้นตอนอย่างไร เช่น "ผมเริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ติดตาม พบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัย 25-35 ปี ผมจึงปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มนี้ สร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และเทรนด์แฟชั่น เปลี่ยนเวลาโพสต์เป็นช่วงเย็นและวันหยุด และเพิ่มการใช้ hashtag ที่เป็นที่นิยม"
Result ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร มีตัวเลขหรือข้อมูลรองรับไหม เช่น "ผลลัพธ์คือยอด engagement เพิ่มขึ้น 35% ในเวลาแค่ 6 สัปดาห์ การเข้าถึงเพิ่มขึ้น 50% และมีลูกค้าใหม่ติดต่อมาจากโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น 3 เท่า"
ลองฝึกเล่าเรื่องราวหลักๆ ของคุณแบบ STAR ให้คล่อง เพราะเวลาสัมภาษณ์งาน วิธีนี้จะช่วยให้คุณเล่าเรื่องได้อย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ
การทดสอบขั้นสุดท้าย: เพื่อนเป็นกรรมการ
ภารกิจที่สิบสาม: การจำลองการสัมภาษณ์
หาเพื่อนหรือพี่น้องมาช่วยเป็นผู้สัมภาษณ์ ให้เขาถามคำถามพื้นฐาน เช่น "เล่าเกี่ยวกับตัวคุณหน่อย", "จุดแข็งของคุณคืออะไร", "ทำไมถึงสนใจตำแหน่งนี้", "เล่าประสบการณ์ที่คุณภูมิใจที่สุด"
ตอบโดยใช้เรื่องราวและเทคนิคที่คุณเตรียมมา แล้วให้เพื่อนประเมินว่าฟังแล้วเชื่อถือได้ไหม น่าสนใจไหม มีตรรกะไหม และที่สำคัญคือ อยากทำงานกับคนที่เล่าเรื่องแบบนี้ไหม
หากเพื่อนบอกว่าฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ หรือไม่เชื่อ แสดงว่าคุณยังต้องปรับปรุงการเล่าเรื่องหรือเลือกเรื่องราวใหม่ หากเพื่อนฟังแล้วประทับใจและอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม แสดงว่าคุณพร้อมแล้ว
การใช้เวลาเจาะลึกตัวเองก่อนเขียน Resume อาจดูเป็นงานที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน แต่มันคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดที่คุณจะทำได้ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้ Resume ของคุณโดดเด่น แต่ยังช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น มั่นใจในตัวเองมากขึ้น และรู้ว่าจะนำเสนอตัวเองอย่างไรในการสัมภาษณ์งาน
การรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้งจะทำให้คุณตอบคำถามได้อย่างจริงใจและมั่นใจ ไม่ต้องแต่งเรื่องหรือพูดเกินจริง เพราะคุณมีเรื่องราวจริงที่พิสูจน์ความสามารถของตัวเอง Resume ที่เกิดจากการเตรียมตัวแบบนี้จะไม่เหมือนใคร เพราะมันเป็นเรื่องราวที่เฉพาะคุณ มีเนื้อหาที่แท้จริง และสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านได้
อย่าลืมว่า Resume ไม่ใช่แค่เอกสารสมัครงาน แต่เป็นเครื่องมือที่จะพาคุณไปสู่ชีวิตการทำงานที่ดีกว่า การใช้เวลาเตรียมตัวให้ดีจะทำให้คุณก้าวเข้าสู่วงการอย่างมั่นใจและพร้อมสำหรับทุกความท้าทาย
ความแตกต่างระหว่าง Resume ที่ผ่านการเตรียมตัวอย่างจริงจังกับ Resume ที่ทำแบบผ่านๆ จะเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่วินาทีแรกที่ HR เปิดอ่าน เพราะหนึ่งเล่าเรื่องจริงของคนจริง อีกหนึ่งเล่าเรื่องแต่งของคนที่ยังไม่รู้จักตัวเอง
ดังนั้น อย่าเพิ่งรีบเขียน Resume ลงมือทำแบบฝึกหัดเหล่านี้ก่อน ใช้เวลาสักสัปดาห์ในการค้นหาตัวเอง และคุณจะพบว่า Resume ที่ออกมาจะมีพลังและความน่าเชื่อถือมากกว่าที่คุณคิด เมื่อคุณเข้าใจตัวเองแล้ว การเขียน Resume จะกลายเป็นเรื่องง่าย เพราะคุณจะรู้ว่าจะเล่าเรื่องอะไร อย่างไร และทำไม ไม่ต้องคิดหาคำสวยๆ เพราะความจริงที่เล่าอย่างตรงไปตรงมานั้นสวยกว่าคำโกหกที่แต่งขึ้นมา
"Resume ที่แกร่งเกิดจากการรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่การรู้จักเทมเพลตอย่างดีเยี่ยม"
สำหรับเหล่า Grower ทุกคน จำไว้ว่า การลงทุนเวลาเพื่อทำความรู้จักตัวเองคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะจะช่วยให้คุณไม่เพียงแต่ได้งาน แต่ได้งานที่เหมาะกับตัวเอง